วิตามินซี หรือ vitamin C หรือ ascorbic acid จัดเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีเองได้ เนื่องจาก มนุษย์ไม่มีเอนไซม์ L-gulonolactone oxidase จึงจำเป็นต้องรับประทานเข้าไป แหล่งของวิตามินซีพบในพืชผัก มากกว่าเนื้อสัตว์ ผักต่าง ๆ เช่น พริกหวาน ผักคะน้า บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ ถั่วลันเตา มะเขือเทศ มันฝรั่ง นอกจากนี้ ผักพื้นบ้านไทย เช่น ยอดสะเดา ใบปอ ผักหวาน มีปริมาณวิตามินซีสูงเช่นกัน จากปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย (DRI) พ.ศ. 2563 โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย ค่าเฉลี่ยความต้องการวิตามินซีต่อวันของประชากรไทยในแต่ละช่วงอายุ ดังตาราง
อายุ (ปี) | ชาย | หญิง |
13-15 | 70 | 65 |
16-18 | 80 | 65 |
19-70+ | 80 | 70 |
วิตามินซีถือเป็นวิตามินที่เป็นที่รู้จักด้านการดูแลผิวพรรณค่ะ วิตามินซีมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จึงช่วยลดสารอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร รวมถึงช่วยปกป้องผิวจากการโดนรังสี UV ทำร้าย ช่วยส่งเสริมกระบวนการการผลิตคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว ช่วยสมานแผล จึงทำให้ผิวที่เกิดแผลจากสิวดูตื้นขึ้น ช่วยยับยั้งการทำงานของเม็ดสี จึงช่วยให้แลดูกระจ่างใสขึ้น แต่ในผิวที่โดนรังสีทำร้ายหรือเมื่ออายุมากขึ้น จะมีปริมาณวิตามินซีที่ลดลง คาดว่าเกิดจากการที่ผิวหนังเจอสารอนุมูลอิสระ มลพิษ รวมถึงรังสี UV ต่างๆ จึงสามารถลดปริมาณวิตามินซีที่ผิวหนังกำพร้าลงได้
บริเวณผิวหนังเรามีวิตามินซีอยู่แล้วค่ะ พบว่าในผิวหนังที่ปกติ มีจะปริมาณวิตามินซีในปริมาณสูงอยู่แล้ว (สูงในที่นี้ คือ เมื่อเทียบกับส่วนต่างๆของร่างกายนะคะ) ผิวหนังกำพร้าและผิวหนังแท้ พบปริมาณวิตามินซี 6–64 mg/100 g Wet Weight และ 3–13 mg/100 g Wet Weight ตามลำดับ *จะเห็นได้ว่า วิตามินซีบริเวณผิวหนังกำพร้ามีมากกว่าหนังแท้หลายเท่าเลยนะคะ* (Pullar JM et al., 2017)
วิตามินซี กินอย่างไรให้ได้ผล ดีที่สุด?
การดูดซึมของวิตามินซีนั้นถูกจำกัดจากตัวขนส่งค่ะ เมื่อรับประทานเข้าวิตามินซีเข้าไป วิตามินซีจากทางเดินอาหารเมื่อเดินทางไปถึงลำไส้เล็กจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดโดยอาศัยตัวขนส่ง (transporter) ชื่อว่า sodium vitamin C cotransporter (SVCT) การดูดซึมจะใช้หลักการแพร่จากความเข้มข้นสูงไปยังความเข้มข้นต่ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตัว transporter อิ่มตัว การดูดซึมจะช้าลงและถูกจำกัด ฉะนั้น การรับประทานวิตามินซีในขนาดสูง ไม่ได้แปลว่าจะได้รับวิตามินซีขนาดสูง วิตามินซีมีการดูดซึมที่ไม่ได้แปรผันเป็นเส้นตรงค่ะ กิน 1,000 ไม่ได้ 1,000 นะคะ การดูดซึมจะได้น้อยกว่าขนาดที่เรารับประทานเข้าไป และด้วยความที่วิตามินวีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ หลังรับประทานเข้าไป จะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 2-3 ชั่วโมงค่ะ
ขนาดวิตามินซี | % อัตราและปริมาณการดูดซึม |
100 มิลลิกรัม | 100 % |
500 มิลลิกรัม | 73 % |
1000 มิลลิกรัม | 49 % |
(Nutrition Flexbook. Chapter 9)
จะเห็นได้ว่า ขนาดที่มากกว่า 1,000 มิลลิกรัม การดูดซึมเข้าร่างกายจะลดลงไปถึง 50% (รู้สึกเสียดายของเลยใช่ไหมคะ) หลายคนอาจจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์วิตามินซีรูปแบบการปลดปล่อยช้า ฉลากจะเขียนระบุ เช่น Buffer C, Sustained released, Timed-released ออกมาจำหน่ายตามร้านยา ผลิตภัณฑ์รูปแบบการปลดปล่อยพิเศษนี้ทำมาเพื่อแก้ปัญหาการดูดซึมโดยเฉพาะ โดยจะทยอยปลดปล่อยวิตามินซีออกมาทีละนิด เช่น 1 ชั่วโมงแรก ปลดปล่อยวิตามินซีออกมา 25% และค่อยๆทยอยปล่อยที่เหลือจนหมดค่ะ ปริมาณวิตามินซีสูงสุดที่แนะนำต่อวัน คือ ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หากรับประทานขนาดสูงเกิน อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้ และปวดเกร็งช่องท้อง เนื่องจากวิตามินซีเป็นกรด (ascorbic acid) สามารถระคายกระเพาะอาหารได้ จึงแนะนำให้รับประทานพร้อมมื้ออาหาร และดื่มน้ำตามมากๆ ไม่แนะนำให้ทานตอนท้องว่างหรือก่อนนอนนะคะ
โดยสรุปแล้ว การรับประทานวิตามินซี ในขนาดต่ำ ๆ แต่แบ่งกินหลายมื้อ เช่น 250-500 มิลลิกรัม แบ่งกิน 3 มื้อ พร้อมมื้ออาหาร เช่น มื้อเช้า-เย็น หรือเช้า-กลางวัน-เย็น เป็นต้น หรือเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีการปลดปล่อยวิตามินซีแบบพิเศษจะมีการดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้มากกว่า ทำให้เราได้รับวิตามินซีตามที่เราต้องการค่ะ
แต่…. การรับประทานวิตามินซีเข้าไปเพื่อหวังผลด้านผิวหนังนั้น รูปแบบการทาจากภายนอกอาจมีประโยชน์และนิยมมากกว่าการรับประทานค่ะ
เมื่อกินแล้วไม่ไปถึงผิว จะรักษาสิวได้อย่างไร ?
วิตามินซี นับว่าเป็นส่วนประกอบยอดนิยมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังในรูปแบบต่างๆ ทั้งครีม โลชั่น โฟมล้างหน้า แผ่นมาสก์ โดยเน้นเฉพาะเรื่องรอยสิว เผยผิวกระจ่างใส
จากที่ได้ทบทวนบทความมา พบว่ายังไม่มีงานวิจัยยืนยันเรื่องการรับประทานวิตามินซีกับการลดสิว รวมถึงสมาคมโรคผิวหนังก็ยังไม่ได้แนะนำเรื่องการรับประทานวิตามินซีเพื่อรักษาสิว คาดว่าเนื่องจากการดูดซึมของวิตามินซีอาจไม่เพียงพอที่จะไปออกฤทธิ์บริเวณผิวหนัง การใช้วิตามินซีทาโดยตรงจะให้ประโยชน์และเห็นผลมากกว่า
ผลของการทาวิตามินซีต่อผิวหนัง
- สารต้านอนุมูลอิสระ (potent antioxidant)
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จากที่ได้กล่าวไปว่าวิตามินซีมีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้นั้น จึงทำให้วิตามินซีสามารถทำงานบริเวณเซลล์ผิวหนังได้ เมื่อผิวเจอกับรังสี UV จะเกิดอนุมูลอิสระที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ หรือ reactive oxygen species; ROS เช่น สาร superoxide ion สาร peroxide เป็นต้น เมื่ออนุมูลอิสระเกิดการสะสมมากๆ จะเกิดสภาวะเครียดออกซิเดชั่น หรือ oxidative stress วิตามินซีช่วยปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระโดยให้อิเล็กตรอนกับพวกสารอนุมูลอิสระไป พวกสารอนุมูลอิสระนั้นจึงมีไม่สามารถทำลายผิวต่อไป พูดง่ายๆ ก็คือ วิตามินซีเป็นผู้พิทักษ์ผิวหนังเรา โดยการเสียสละยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจับผู้ร้ายและผู้พิทักษ์ผิวของเราก็สามารถแปลงร่างกลับมาเป็นวิตามินซีโดยมีกลูตาไธโอนช่วยค่ะ ขอ remark ไว้นิดนึงนะคะว่าการที่ผิวเราเจอกับรังสี UV จะทำให้วิตามินซีที่อยู่บนผิวเราลดลงได้ค่ะ พบว่า เซลล์ผิวหนังบริเวณที่โดนรังสี UV มากๆจะมีตัวขนส่งของวิตามินซีเพิ่มขึ้น แปลว่า เซลล์ผิวบริเวณนั้นต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นค่ะ
ช้าก่อน!!! อย่าเข้าใจผิดว่า วิตามินซีช่วยปกป้องผิวหนังเราจากแสงแดดได้ จึงละเลยการทาครีมกันแดดนะคะ วิตามินซี ≠ ครีมกันแดด จากที่บอกไปว่า วิตามินซีสามารถถูก UV ทำลายและสลายไปได้ เพราะวิตามินซีไม่มีคุณสมบัติในการดูดซับหรือสะท้อน UVA หรือ UVB เลย เพียงแต่ป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลายจากสารอนูมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UV นั่นเองค่ะ
- ชะลอวัย (Antiaging effect)
วิตามินซีนับเป็นวิตามินที่สำคัญสำหรับกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทั้งช่วยการทำงานของเอนไซม์ในการสร้าง กระตุ้นให้เกิดการแสดงของยีนส์ของคอลลาเจน รวมถึงกระตุ้นการสร้างที่ยีนส์ควบคุมการสร้างคอลลาเจนโดยตรง พบว่าการใช้วิตามินซีในรูปแบบทาภายนอกจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมนุษย์ได้ มีงานวิจัยศึกษาการทาวิตามินซีความเข้มข้น 3% ทุกวันเป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่า ความหนาแน่นส่วนของหนังแท้ ที่ยึดติดกับหนังกำพร้า (dermal papillae) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (Lin JY et al., 2003)
- เสริมกำลังให้วิตามินอี (Replenisher of vitamin E)
วิตามินอีมีส่วนช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ต่อสารก่ออนุมูลอิสระต่างๆ ช่วยให้คอลลาเจนอยู่บนผิวหนัง เมื่อใช้วิตามินซีร่วมกับวิตามินอีร่วมกันจะช่วยลดการตายของเซลล์ (Apoptosis) วิตามินซีเป็นวิตามินที่ชอบน้ำ ส่วนวิตามินอีเป็นวิตามินที่ชอบไขมัน จึงสามารถช่วยปกป้องส่วนประกอบของเซลล์ทั้งแบบชอบน้ำและไม่ชอบน้ำได้ พบว่า วิตามินอีจะช่วยเพิ่มการทำงานของวิตามินซีได้ถึง 4 เท่า และวิตามินซีจะช่วยสร้าง (regenerate) วิตามินอี เมื่อใช้ทั้งวิตามินซีและอีร่วมกัน จะเพิ่มประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกันปกป้องผิวหนังจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด
- ลดรอยดำ (Antipigmentary effect)
ถึงไฮไลท์สำคัญ ที่เป็นคุณสมบัติชูโรงของวิตามินซีค่ะ วิตามินซีมีส่วนช่วยในการลดรอยดำได้ โดยวิตามินซีจะไปจับ copper ions ที่เอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่จะเปลี่ยน tyrosine เป็น melanin (คือ เม็ดสีเมลานินนั่นเอง) พอวิตามินซีไปจับกับเอนไซม์ tyrosinase แล้ว เอนไซม์จะทำงานไม่ได้ ส่งผลให้ปริมาณ melanin ลดลง งานวิจัย พบว่า เมื่อทาวิตามินซีความเข้มข้น 25% เป็นระยะเวลา 16 สัปดาห์ สามารถช่วยลดความเข้มของรอยฝ้าได้ (hwang sw et al., 2009)
โดยสรุปแล้ว หากต้องการรับประทานวิตามินซี แนะนำให้รับประทานขนาดต่ำๆ แบ่งทานหลายๆแมื้อ หรือเลือกรูปแบบการปลดปล่อยช้า เพื่อให้ตัวขนส่งค่อยๆทยอยดูดซึมเข้าร่างกาย ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันถึงประสิทธิภาพในการรับประทานวิตามินซีเพื่อรักษาสิวหรือลดรอยดำ การใช้วิตามินซีทาโดยตรงลงบนผิวหนังจะเห็นผลมากกว่าค่ะ
References
- Pullar JM, Carr AC, Vissers MCM. The Roles of Vitamin C in Skin Health. Nutrients. 2017 Aug 12;9(8):866.
- Telang PS. Vitamin C in dermatology. Indian Dermatol Online J. 2013 Apr;4(2):143-6.
- Findik, R.B.; Ilkaya, F.; Guresci, S.; Guzel, H.; Karabulut, S.; Karakaya, J. Effect of vitamin C on collagen structure of cardinal and uterosacral ligaments during pregnancy. Eur. J. Obstet. Gynecol. Reprod. Biol. 2016,201, 31–35.
- Silverstein, R.J.; Landsman, A.S. The effects of a moderate and high dose of vitamin C on wound healing in a controlled guinea pig model. J. Foot Ankle Surg. 1999, 38, 333–338.
- Nutrition Flexbook. Chapter 9. 9.31 Vitamin C Absorption & Tissue Accumulation. LumenCandele. Available at: https://courses.lumenlearning.com/suny-nutrition/chapter/9-31-vitamin-c-absorption-tissue-accumulation/
- Lin JY, selim ma, shea CR, et al. uV photoprotection by combination topical antioxidants vitamin C and vitamin e. J Am Acad Dermatol. 2003;48:866–874.
- hwang sw, oh dJ, Lee d, Kim Jw, Park sw. Clinical efficacy of 25% L-ascorbic acid (C’ensil) in the treatment of melisma. J Cutan Med Surg. 2009;13(2):74–81.
- ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน สำหรับคนไทย พ.ศ. คณะกรรมการและคณะทำงานปรับปรุงข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. มีนาคม 2563
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © Pharmular Brand All rights reserved.